รถยนต์แบบไหนเสี่ยงเกิดเพลิงไหม้มากกว่ากัน?
เสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่า “รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน” (ICE) เสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้มากกว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” (EV) จริงหรือไม่? แล้วถ้าใช่มันเป็นเพราะเหตุใด
โดยทั่วไปแล้วรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มีแนวโน้มที่จะเกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายกว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นเรื่องจริงตามคำบอกเล่า ด้วยเหตุผลดังนี้
- เชื้อเพลิงติดไฟง่าย : รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ต้องเติมน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจะติดไฟได้ง่ายมากหากเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเป็นเชื้อเพลิงซึ่งจะติดไฟได้ยากกว่า (แต่ถ้าไหม้จะรุนแรงกว่ามาก)
- การรั่วไหลของเชื้อเพลิง : ในรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) การรั่วไหลจะเกิดขึ้นบริเวณระบบน้ำมัน ท่อส่งน้ำมัน และระบบไอเสียร้อน ซึ่งหากเกิดการรั่วไหลจะติดไฟได้ง่ายมาก ส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) การรั่วไหลจะเกิดจากระบบไฟฟ้าแรงสูง แบตเตอรี่ และอินเวอร์เตอร์ ซึ่งความเสี่ยงจากการรั่วไหลหรือการลัดวงจรของไฟฟ้าจะทำให้ติดไฟยากกว่า
- โอกาสเกิดเพลิงไหม้จากอุบัติเหตุ : รถยนต์เครื่องยนต์สันนดาปภายใน (ICE) มีโอกาสสูงกว่า เพราะมีน้ำมันและระบบไอเสียร้อน แต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีโอกาสเกิดต่ำกว่า แต่หากแบตเตอรี่เกิดความเสียหายจากการชนอาจเกิดไฟไหม้แบบต่อเนื่อง
อัตราการเกิดไฟไหม้ตามสถิติ
จากข้อมูลของ AutolnsuranceEZ พบว่าอัตราการเกิดเพลิงไหม้จากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อยู่ที่ 25.1 คันต่อรถ 100,000 คันเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่มีอัตราการเเกิดเพลิงไหม้ 1,529.9 คัน ทำให้เห็นว่ารถ EV มีความเสี่ยงน้อยกว่าถึง 61 เท่า
แต่หากเป็นรถยนต์แบบไฮบริดซึ่งผสมผสานระบบไฟฟ้าและเครื่องยนต์ จะมีความเสี่ยงในการเกิดเพลิงไหม้สูงที่สุด ซึ่งมีอัตราการเกิดเพลิงไหม้สูงถึง 3,474.5 คันต่อ 100,000 คัน
ในขณะที่สถิติจาก NFPA (National Fire Protection Association) หรือสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติในสหรัฐอเมริกา ระบุว่าในสหรัฐอเมริิกาเกิดเหตุเพลิงไหม้รถยนต์บนทางหลวงมากกว่า 200,000 ครั้งต่อปี โดยในจำนวนนี้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีเพียงแค่ 1% เท่านั้น
ถึงแม้หลายคนอาจจะกังวลกับไฟไหม้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่หากเทียบจากสถิติแล้ว รถไฟฟ้า (EV) ก็ถือว่าเป็นรถที่ปลอดภัยกว่ารถยนต์ประเภทอื่น

ที่มา