“DeepSeek” เอไอน้องใหม่ของจีน จะสู้รุ่นพี่อย่าง GhatGPT
เมื่อเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมาจีนได้เปิดตัว “DeepSeek” ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีความสามารถใน “การใช้เหตุผล” มาในรูปแบบ Open Source สร้างความฮือฮาให้กับวงการไอทีของโลกเป็นอย่างมาก เพียงคืนเดียวที่เปิดตัว มูลค่าบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ หายไปกว่า 34 ล้านล้านบาท ตลาดหุ้นปั่นป่วนอย่างหนัก
ทันทีที่ “DeepSeek” เปิดตัวตลาดหุ้นเทคโนโลยีก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยหุ้น Nvidia ร่วงลงถึง 17% ASML ลดลง 6% และ Nasdag ลงมากว่า 3% ปรากฏการณ์นี้ทำเอาวงการเทคโนโลยีทั่วโลกออกมาตั้งคำถามกับสหรัฐฯ อย่างล้นหลาม อาทิเช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกจริงไหม? เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบ Open AI ของสหรัฐฯ กับ Open Source ของจีนแบบไหนดีกว่ากัน และทำไมเงินลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และทำไมของสหรัฐฯ ถึงแพงกว่าจีนถึงหลายร้อยเท่า เป็นต้น
DeepSeek คืออะไร?
DeepSeek คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2023 จากบริษัทสตาร์ทอัพของจีนที่นำโดย “เหลียง เหวินเฟิง” (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้งบริษัทจัดการลงทุนที่ใช้ AI มาช่วยในการลงทุนที่ชื่อว่า “High-Flyer” ซึ่งมีสำนักงานเดียวกับ DeepSeek
DeepSeek เป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ ประมวลผลภาษาธรรมชาติที่เข้าใจและตอบสนองภาษาของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ ทั้งตอบคำถาม แปลภาษา แต่งยาย เขียนบทความได้ เหมือนกับ ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากสหรัฐฯ
แต่สิ่งที่น่ากังวลของ DeepSeek คือ การเก็บข้อมูลของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม อาชญากรไซเบอร์อาจใช้เทคโนโลยีในการเจาะเข้าระบบ รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดในหัวข้อสำคัญ เช่น การแพทย์ กฎหมาย การเงิน และความมั่นคง เป็นต้น
DeepSeek ดีอย่างไร? ทำไม? ได้รับความนิยมมากว่า ChatGPT
DeepSeek ถือว่าเป็น AI ที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลคล้าย ๆ กับ ChatGPT แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการไอทีของโลกในการเปิดตัว DeepSeek นั้นก็คือจำนวนเงินและปริมาณคนที่ใช้พัฒนาเทคโนโลยปัญญาประดิษฐ์ (AI) น้อยกว่า ChatGPT หลายเท่าตัว
ChatGPT เป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จากฝั่งสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2015 ใช้พนักงาน 4,500 คน และใช้เงินลงทุนสูงถึง 168,500 ล้านบาทต่อปี เนื่องจากต้องพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อน แต่ในฝั่งของ DeepSeek กลับใช้คนเพียงแค่ 200 คน และใช้เงินในการลุงทุนเพียง 190 ล้านบาท น้อยกว่าสหรัฐถึงหลายร้อยเท่า นอกจากจะใช้จำนวนคนและเงินลงทุนที่มากกว่า DeepSeek แล้ว ChatGPT ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุภาวะโลกร้อน และใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าอีกด้วย
ในด้านของการลงทุนและค่าใช้จ่ายในการใช้งาน ทาง CEO ของ DeepSeek เคยให้สัมภาษณ์ว่า ราคาจะเริ่มต้นที่เดือนละ 35 บาทซึ่งต่างกับ ChatGPT ถึง 10เท่า และยังเปิดโอกาสให้นักพัฒนาเทคโนโลยีจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ดีมากขึ้น
ทั้ง 2 โมเดล AI ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน สุดท้ายแล้วโมเดลของใครจะได้ใจคนทั่วโลกไปเยอะกว่ากันก็ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา