จะเกิดอะไรขึ้น! หลังทรัมป์พาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจาก
“ข้อตกลงปารีส”
“ทรัมป์” กลับมาในฐานะประธานาธิบดีอย่างเต็มตัว พร้อมพาสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส สวนกระแสลดภาวะโลกร้อนของทั่วโลก ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่นานาประเทศกำลังแก้ไขในตอนนี้
หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวคำปฏิญานตน เพื่อสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทรัมป์ได้ลงนามยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร 78 ฉบับที่เป็นแผนริเริ่มการดำเนินการต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี “โจ ไบเดน”
หนึ่งในการเพิกถอนคำสั่งที่ทำให้ทั่วโลกเกิดความกังวลอย่างมากนั่นก็คือการถอนตัวจาก “ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Paris Agreement) ซึ่งการเพิกถอนคำสั่งในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากทรัมป์เคยประกาศถอนตัวออกจากการเป็นภาคีข้อตกลงปารีสมาแล้วเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ซึ่งในตอนนั้นทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก
การถอนตัวจาก “ข้อตกลงปารีส” ของทรัมป์ถือเป็นประเด็นทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมาก เนื่องจาก “ข้อตกลงปารีส” เป็นข้อตกลงที่ประเทศต่าง ๆ เกือบ 200 ประเทศตกลงร่วมมือกันเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อน ไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยในการถอนตัวในครั้งนี้ของทรัมป์ได้กล่าวว่า “ผมขอถอนตัวจากข้อตกลงปารีสที่ไม่เป็นธรรมและลำเอียงทันที” ซึ่งทรัมป์ได้ระบุถึงเหตุผลที่กล่าวเช่นนี้ว่า “จีนยังคงสร้างมลพิษโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องแบกรับภาระอย่างไม่สมเหตุสมผล”
ซึ่งก่อนหน้านี้ทรัมป์ก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนนี้ว่า “โลกรวนคือเรื่องหลอกหลวง” และเขาจะผลักดันบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ ให้มีกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากสหรัฐฯ ถอนตัวออกจาก “ข้อตกลงปารีส”
การที่ทรัมป์ถอนตัวจาก “ข้อตกลงปารีส” ในครั้งนี้ได้รับการวิพากวิจารณ์อย่างหนักจากนักสิ่งแวดล้อมทั่วโลก รวมถึงผู้นำระดับนานาชาติของหลาย ๆ ประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ 2 ของโลกซึ่งรองลงมาจากจีน หากถอนตัวออกไปการ จำกัดให้ภาวะโลกร้อนของโลกให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียสคงทำได้ยากขึ้นหรือแทบจะทำไม่ได้เลย
ทางด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้ออกมาเผยถึงข้อมูลของสถานกาณ์ในครั้งนี้ว่า “ปัจจุบันมีกองทุนภูมิอากาศสีเขียว หรือ Green Climate Fund ซึ่งอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา “โจ ไบเดน” ได้บริจาคเข้ากองทุนนี้ถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 1 แสนล้านบาทไทย เพื่อนำไปใช้จ่ายในการปรับตัวและการพัฒนาเทคโนโลยี แต่เมื่อ “ทรัมป์” ได้เพิกถอนการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสแล้ว แน่นอนว่างบประมาณที่จะนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ลดลงอย่างแน่นอน”
และการที่ “ทรัมป์” สนับสนุนให้ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น และสนับสนุนพลังงานสะอาดน้อยลง ก็จะยิ่งส่งผลให้สภาพอากาศของโลกแย่ลง วิกฤตของสภาพอากาศก็จะเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ชาวอเมริกันเองก็จะหนีจากวิกฤตของสภาพอากาศที่เลวร้ายไม่พ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปัจจุบันก็ยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ 100%
ถึงแม้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก “ข้อตกลงปารีส” ไปแล้ว แต่อีกหลายร้อยประเทศก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อและจับตามองความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่านโยบายต่อไปจะสร้างวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นหรือไม่
ที่มา