ทำไมเอาสายไฟลงดิน ถึงได้นานขนาดนี้!
การนำสายไฟลงดินเป็นวิธีการที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน และแก้ไขปัญหาในหลายด้าน รวมถึงทำให้ภูมิทัศน์สวยงามมากขึ้น โดยในไทยมีโครงการรนำสายไฟลงดินมากกว่า 40 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่เสร็จ แล้วทำไมเอาสายไฟลงดินถึงได้นานขนาดนี้!
ระบบสายไฟที่เราเห็นระโยงระยางจนกลายเป็นภาพชินตาตามท้องถนน เป็นระบบสายไฟแบบขึงอากาศ หรือที่เรียกว่า “สายไฟบนดิน” แบ่งออกเป็น
- แถวบนสุด: เป็นสายไฟฟ้าแรงสูง 22,000 โวลต์
- แถวกลาง: เป็นสายไฟฟ้าแรงต่ำ 230 หรือ 400 โวลต์ สำหรับจ่ายไฟเข้าบ้านเรือนประชาชนทั่วไป
- แถวล่างสุด: เป็นสายหลายเส้นขดกัน ที่เราเห็นระโยงระยางเต็มไปหมด คือ สายสื่อสารโทรคมานาคม เช่น สายอินเทอร์เน็ต, สายเคเบิลโทรศัพท์, สายเคเบิลทีวี, สายควบคุมสัญญานจราจร, และสายสื่อสารกล้องวงจรปิด เป็นต้น
ทำไมจะต้องเอาสายไฟลงดิน?
ปัจจุบันหลายเมือง โดยเฉพาะเมืองขนาดใหญ่มักจะมีปัญหาสายไฟฟ้ารกรุงรัง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเมือง การนำสายไฟลงดินทำให้เกิดข้อดีหลายด้าน ดังนี้
- เพิ่มความปลอดภัย: ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากสายไฟขาด ไฟฟ้าช็อต หรือเสาไฟล้ม
- ลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ: ลดโอกาสไฟฟ้าดับจากพายุฝน ลมแรงหรือต้นไม้ล้ม
- ปรับปรุงทัศนียภาพ: เมืองดูสะอาดตา ไม่มีสายไฟรกรุงรัง
- ลดต้นทุนการซ่อมบำรุงระยะยาว: ถึงแม้ว่าต้นทุนในการนำสายไฟลงดินจะต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก แต่ในอนาคตจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาแน่นอน
การนำสายไฟลงดินในไทยทำที่ไหนแล้วบ้าง?
ในปัจจุบันเริ่มมีการนำสายไฟลงดินในบางพื้นที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแล้ว เช่น จังหวัดเชียงใหม่ นครพนม ขอนแก่น นครราชสีมา น่าน ภูเก็ต อำเภอหาดใหญ่ เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร เป็นต้น
การนำสายไฟลงดินไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยมากนัก เนื่องจากการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. ได้ริเริ่มโครงการระบบสายไฟใต้ดินครั้งแรกในปี 2527 ซึ่งผ่านมาแล้วประมาณ 41 ปี ซึ่งเริ่มจากถนนสีลมเป็นที่แรก แต่จนถึงปัจจุบันการนำสายไฟลงดินก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วกรุงเทพมหานครเสียที แล้วสาเหตุมันเกิดจากอะไร?
ทำไมการนำสายไฟลงดินถึงใช้เวลานาน?
- ข้อจำกัดทางโครงสร้างพื้นฐาน: มีระบบสาธารณูปโภคใต้ดินจำนวนมาก เช่น ท่อประปา ท่อระบายน้ำ ท่อแก๊ส การนำสายไฟลงดินจึงต้องละเอียดรอบคอบ
- ต้นทุนสูง: การที่จะนำสายไฟลงดินต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก เฉลี่ย 30 – 50 ล้านบาทต่อกิโลเมตร นอกจากนี้ยังจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสร้างสถานีแปลงไฟฟ้ารองรับระบบใต้ดิน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เยอะแยะมากมาย
- ต้องได้รับอนุญาตจากหลายหน่วยงาน: การนำสายไฟลงดินต้องประสานงานกับหลายหน่วยงาน เช่น การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), กรุงเทพมหานคร (กทม.), และการประปานครหลวง (กปน.) เป็นต้น
- โครงการมีขนาดใหญ่และต้องทำเป็นระยะ: เนื่องจากการนำสายไฟลงดินเป็นใครงการที่ใหญ่ และต้องใช้งบประมาณสูงมาก จึงต้องทยอยดำเนินโครงการทีละส่วน เช่น เริ่มจากถนนสายหลักก่อน
การนำสายไฟลงดินถือเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มากโครงการหนึ่งของไทย หากทำสำเร็จก็จะมีประโยชน์ในระยะยาว ทั้งด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความสวยงาม แต่ข้อเสียในระหว่างการดำเนินงานก็มีมากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านงบประมาณ หรือการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน ด้วยเหตุและปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการนาน
แต่หากมีการวางแผน และเร่งรัดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้โครงการนี้เสร็จได้เร็วขึ้น
ที่มา