

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกุล แถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ โดยประกาศเร่งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ให้เร็วขึ้นจากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้ไทยก้าวทันมาตรฐานการค้าโลกและไม่ถูกกีดกันจากห่วงโซ่อุปทานนานาชาติ
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC มองว่านี่คือ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” และเป็น “จุดเปลี่ยน” ของอุตสาหกรรมไทย เพราะการลดคาร์บอนกลายเป็น ทางรอดของเศรษฐกิจ มากกว่าทางเลือก
อุตสาหกรรมได้อานิสงส์ ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า รีไซเคิล วัสดุชีวภาพ และเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำ ขณะที่ อุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนสูง เช่น น้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้าฟอสซิล เหล็ก ซีเมนต์ และรถยนต์น้ำมัน จะเผชิญแรงกดดันทั้งจากต่างประเทศและมาตรการในประเทศ อาทิ ภาษีคาร์บอน และระบบซื้อขายคาร์บอน (ETS)
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ไทยต้องเร่งลดคาร์บอน เฉลี่ย 10% ต่อปี โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยสูงกว่า 24% ของประเทศ พร้อมเร่งใช้พลังงานสะอาด จัดการของเสีย และลงทุนเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า นโยบาย Net Zero 2050 จะช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน และเป็นกุญแจสำคัญให้ภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SME ปรับตัวทันโลกเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ แต่การเดินหน้าสู่ความสำเร็จต้องอาศัย ความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
CR.https://www.tnnthailand.com/wealth/economy/213498/