“พลังงานสะอาด” vs ความยั่งยืน?

เมื่อโลกกำลังหันไปหาพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวเพื่อลดโลกร้อน คำถามสำคัญกลับปรากฏขึ้น—”เราจะปกป้องอนาคตของโลกโดยไม่ทำลายชีวิตของคนในวันนี้ได้อย่างไร?”

ต้นทุนที่มองไม่เห็นของความ “เขียว”

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ แอ่งเกลืออะตากามา ในประเทศชิลี แหล่งแร่ลิเทียมสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แม้เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดมลพิษในอนาคต แต่การขุดลิเทียมกลับทำลายระบบนิเวศเดิม เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำเหือดแห้ง พืชพรรณและสัตว์ป่าหายไป

ปรากฏการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น เหมืองนิเกิลในอินโดนีเซีย ที่ทำลายป่าและสร้างมลพิษทางน้ำและอากาศ เหมืองโคบอลต์ในคองโกที่ใช้แรงงานเด็กอย่างไร้มาตรฐาน หรือโครงการกังหันลมในเม็กซิโกที่เบียดขับสิทธิชุมชนพื้นเมือง ขณะที่เขื่อนพลังน้ำในลุ่มน้ำโขง ส่งผลกระทบต่อชาวประมงและเกษตรกรตามลำน้ำ

แม้กระทั่งแผงโซลาร์เซลล์ที่เคยถูกมองว่า “สะอาด” เมื่อหมดอายุการใช้งานก็กลายเป็นขยะพิษหากไม่มีระบบจัดการที่ดี

ทางออก: เทคโนโลยีต้องเดินคู่กับความยั่งยืนและสิทธิชุมชน

แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น คือ การให้ชุมชนมีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ เช่น การประเมินผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมก่อนลงทุนอุตสาหกรรม หรือสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง แม้จะยังมีต้นทุนสูงก็ตาม

สรุป

เทคโนโลยีสีเขียวไม่ควรเป็นแค่ “ความหวัง” ที่สร้างปัญหาใหม่ให้ชุมชนหรือสิ่งแวดล้อม หากขาดการวางแผนอย่างรอบคอบและการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ ในท้ายที่สุด ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อให้พลังงานสะอาดเป็นทางรอดของโลก ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของวิกฤตรูปแบบใหม่

CR : https://www.posttoday.com/smart-city/727861