สหรัฐฯ อาจขาดแคลนไฟฟ้าในอนาคต เมื่อความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ!
พื้นที่ของสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่งอาจขาดแคนไฟฟ้าในอีก 10 ปีข้างหน้า เหตุจากความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นแบบที่ไม่เคยเห็นมาหลายทศวรรษ
North American Electric Reliability Corporation (NERC) เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ถูกตั้งขึ้นโดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าในสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยว่า พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ เสี่ยงที่จะขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในอีก 10 ปีข้างหน้า และอาจนำไปสู่ไฟฟ้าดับและเกิดการใช้มาตรการประหยัดไฟฟ้า
NERC ระบุไว้ในรายงานการประเมินความน่าเชื่อถือระยะยาวประจำปีว่า เนื่องจากการใช้พลังงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก ศูนย์ข้อมูล AI, การใช้ไฟฟ้าในอาคาร, และการขนส่ง ทำให้ไฟฟ้าที่ผลิตในปัจจุบันไม่เพียงพอ ส่งผลให้อุปทาน (ปริมาณการผลิต) และอุปสงค์ (ปริมาณความต้องการ) ที่เพิ่มขึ้นไม่สมดุลกัน
“จอห์น มูรา” ผู้อำนวยการฝ่ายการประเมินความน่าเชื่อถือ และการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ NERC กล่าวว่า “เรากำลังเห็นความต้องการเติบโตอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาหลายทศวรรษ โครงสร้างพื้นฐานของเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและเพียงพอที่จะรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น”
Midcontinent Independent System Operator หรือ หน่วยงานที่ให้บริการส่งสัญญานแบบเปิดและตรวจสอบระบบส่งไฟฟ้าแรงสูง ในพื้นที่หนึ่งของสหรัฐฯ ที่ดำเนินโครงข่ายไฟฟ้าใน 15 รัฐ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงตามปกติ ซึ่งผู้ประกอบการระบบขนส่งไฟฟ้ารายอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง อาจเกิดการขาดแคลนไฟฟ้าในช่วงที่มีอากาศร้อน หรือหนาวจัดได้เช่นกัน
ทาง NERC ยังได้กล่าวอีกว่า “พื้นที่บางส่วนของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันตกกลาง อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า เนื่องจากมีการเปิดไฟให้ใช้งานได้ระยะยาว”
แต่อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” เคยให้คำสัญญากับประชาชนไว้ว่า เขาจะลดการลงทุนด้านพลังงานสะอาด และจะนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากเต็มกำลัง
ด้วยเหตุนี้เองสหรัฐฯ อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าขาดแคลนในอีก 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ เนื่องจากโรงงานไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลที่มีแผนในการปิดโรงงานอาจลดลง จากการสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
ที่มา
Midcontinent Independent System Operator